เดิมที ตามตารางของการออกแบบบ่อปลาคาร์ฟ ที่เขียนโดยคนอเมริกัน คนอังกฤษ และคนในระเทศแถบทวีปยุโรปกำหนดให้ปริมาณน้ำทั้งหมดต้องไหลผ่านระบบกรองทุก 2 ชั่วโมง หรือวันละ 12 ครั้ง (เรียก กรอง 12 รอบ) แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว จำนวนระบบกรองที่เหมาะสมควรจะเป็น 12-20 รอบ ขึ้นกับขนาดของบ่อ
เพื่อให้เกิดความแน่ใจ ลองมาดูจำนวนรอบกรองให้เหมาะสมในเบื้องต้นกัน
-บ่อขนาใหญ่เกิน 100 ลบ.ม. แนะนำรอบกรองที่ 12-15 รอบ
-บ่อขนาดใหญ่ประมาณ 50ลบ.ม. แนะนำรอบกรองที่ 15 รอบขึ้นไป
-บ่อขนาดใหญ่ประมาณ 20ลบ.ม. แนะนำรอบกรองมากกว่า 18 รอบ
*หมายเหตุ หน่วยความจุน้ำ ลูกบาศก์เมตร ในวงการปลาคาร์ฟ นิยมใช้หน่วยตันมากกว่า เนื่องจากน้ำ 1 ลบ.ม. มีน้ำหนัก 1 ตัน เช่น บ่อขนาด 30 ตัน เลือกรอบกรองที่18 รอบ ขนาดปั๊มน้ำ22.5 ตัน/ชม. เป็นต้น
เมื่อทราบปริมาณน้ำี่ไหลผ่านระบบแล้ว จึงนำตัวเลขเหล่านี้ไปใช้กับขนาดของท่อสะดือ การไหลของน้ำผ่านท่อนั้น ท่อขนาดใหญ่จะส่งน้ำได้มากกว่า่ท่อขนาดเล็ก สิ่งที่สำคัญคือ พื้นที่หน้าตัดของท่อหรือขนาดของท่อนั่นเอง
หากท่อมีขนาด =¶ (r^2) ดังนั้นขนาดหรือพื้นที่ท่อจึงไม่ใช่ความใหญ่ของเส้นผ่านศูนย์กลาง เช่น
ท่อ 4 นิ้ว (R=2 นิ้ว) มีพื้นที่ ¶(2^2)
ท่อ 6 นิ้ว (R=3 นิ้ว) มีพื้นที่ ¶(3^2)
ท่อ 3 นิ้ว (R=1.5 นิ้ว) มีพื้นที่ ¶(1.5^2)
ท่อ 2 นิ้ว (R=1 นิ้ว) มีพื้นที่ ¶(1^2)
ท่อ 1 นิ้ว (R=0.5 นิ้ว) มีพื้นที่ ¶(0.5^2)
ดังนั้นเมื่อนำท่อมาเรียงเปรียบเีทียบกันจะได้แบบนี้
ขนาดท่อ 1,2,3,4และ 6 นิ้ว มีพื้นที่ ¶(0.5^2),¶(1^2),¶(1.5^2),¶(2^2), ¶(3^2) เปรียบเทียบเป็นสัดส่วนได้ดังนี้ 0.25 ,1,2.25,4,9
การเลือกแนวทางการเดินหรือติดตั้งท่อนั้นสำคัญไม่น้อยกว่าขนาดของท่อ ในการติดตั้งระบบท่อ ให้หลีกเลี่ยงท่อที่โค้งหรือมีจุดหักให้มากที่สุด ท่อที่มีความยาวมากหรือหักเลี้ยวมาก จะทำให้ความสามารถของการพาน้ำไปตามท่อลดลง
ท่อ PVC สีฟ้าี่เห็นในท้องตลาดแบ่งได้ 3 ชนิดตามความหนาคือ Class 5,8.5 และ13.5 ท่อที่เหมาะสมกับการใช้งานใต้ดินควรเป็น 8.5 ขึ้นไปส่วนท่อที่อยู่ภายในบ่อนั้นใช้ 8.5 ก็พอแล้ว
ข้อต่อและอุปกรณ์ประกอบของท่อ PVC มี2 ชนิดคือ แบบบางละแบบหนา ให้เลือกใช้แบบหนาเ่ท่านั้นก่อนใช้ควรทากาวที่มีคุณสมบัติละลายเนื้อPVC ให้ติดกัน ทาให้ครบทุกด้านและและสวมให้ติดกันทิ้งไว้ 1 วันเพื่อให้กาวเซ็ตตัว แล้วจึงทดสอบด้วยการกักน้ำทิ้งไว้3-5 วันเพื่อทดสอบรอยรั่วซึมต่างๆ
ส่วนปั๊ม เราแบ่งได้ 3 กลุ่มคือ
1. ปั๊มจุ่ม (Subersible Pump) แค่แช่ลงไปในน้ำก็เสียบปลั๊กได้เลย แต่ข้อเสียคือ ไฟฟ้าลัดวงจรได้ง่าย มีความร้อนและสนามแม่เหล็กอยู่บ้าง
2. ปั๊มลอย(Centrifugal Pump) ปั๊มแรงดันสูง เปลืองไฟ(มาก) ไม่เป็นที่นิยม
3. ปั๊มผลักน้ำ(Propeller Pump) ปั๊มมีจุดเน้นที่ผลักน้ำได้มาก ประหยัด ปลอดภัย ไม่เกิดความร้อนหรือสนามแม่เหล็กในน้ำ แต่มีราคาสูง
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้ มีอยู่ 3 ค่า คือ
1. Q ปริมาณน้ำีที่ได้ต่อหน่วยเวลา (หน่วยลิตรหรือเป็นตัน/ชั่วโมง)
2. H ความสูงที่ปั๊มส่งน้ำได้ (หน่วยเป็นเมตร)
3.P กำลังไฟฟ้าที่ใช้(หน่วยเป็นวัตต์)
*ขอขอบคุณบทความจาก นิตยสาร KOI MAX
หน้าที่เข้าชม | 262,392 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 158,354 ครั้ง |
เปิดร้าน | 11 ก.พ. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |